วี เคอร์เทิน ดีไซน์

we curtain design.

” เปลี่ยนบ้านให้สวยงามและมีสไตล์ เริ่มต้นได้ง่ายๆ เพียงแค่ติดต่อเรา “

ทำไมต้องเลือกเรา?

  • บริการครบวงจร: ตั้งแต่การออกแบบที่เข้ากับสไตล์ของคุณ ไปจนถึงการติดตั้ง โดยทีมช่างมืออาชีพ จบงานไว ไม่ทิ้งงาน รับผิดชอบบริการหลังการขาย
  • วัสดุคุณภาพสูง: เลือกสรรวัสดุเกรดพรีเมียม เพื่อความสวยงามและทนทาน
  • หลากหลายรูปแบบ: มีให้เลือกทั้งผ้าม่านหลากหลายเนื้อผ้า มู่ลี่หลากหลายวัสดุ และวอลเปเปอร์ลายสวยงาม
  • บริการให้คำปรึกษาฟรี: ทีมงานพร้อมให้คำแนะนำและออกแบบให้ตรงใจคุณ
  • บริการวัดพื้นที่หน้างานฟรี: ช่วยให้คุณมั่นใจว่าสินค้าที่ได้จะพอดีกับพื้นที่
  • บริการนำตัวอย่างไปให้ชมถึงบ้านฟรี: เลือกชมวัสดุได้อย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจ

เหมาะสำหรับ:

  • บ้าน: สร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นส่วนตัว
  • คอนโด/อพาร์ทเมนต์: ตกแต่งให้ดูทันสมัยและมีสไตล์
  • สำนักงาน: สร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย
  • ร้านค้า/โรงแรม: เพิ่มความสวยงามและดึงดูดลูกค้า

สนใจติดต่อ:

ส่งรายละเอียด รูปภาพ และขนาดพื้นที่เพื่อประเมินราคาเบื้องต้น ติดต่อนัดคิว วัดพื้นที่หน้างานฟรี ค่ะ

“เปลี่ยนบ้านให้สวยงามด้วย ผ้าม่าน และ วอลเปเปอร์ คุณภาพสูง”

หากต้องการตกแต่งบ้านให้สวยงามและมีสไตล์ มอบความไว้วางใจให้เรา. วี เคอร์เทิน ดีไซน์ เรามีบริการครบวงจร ทั้งออกแบบ ติดตั้ง ผ้าม่าน มู่ลี่ ม่านม้วน ม่านปรับแสง ฉากกั้นห้อง และวอลเปเปอร์คุณภาพสูง

ทำความรู้จักกับม่านแต่ละประเภทกัน

ผ้าม่าน นอกจากจะช่วยบังแสงแดด และกรองสายตาให้ความเป็นส่วนตัวจากบุคคลภายนอกแล้วผ้าม่านยังถือเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งของบ้าน ที่มีส่วนช่วยในการตกแต่งให้บ้านออกมาสวย และดูดีในสไตล์ของเราค่ะ ในแต่ละจุดของบ้านจะมีการเลือกใช้ผ้าม่านที่แตกต่างกันไปตามขนาดพื้นที่ และลักษณะการใช้งานค่ะ เรามาทำความรู้จักประเภทของผ้าม่าน และลักษณะการใช้งานกันดีกว่า..

ม่านจีบ (Pleated Curtains)
ม่านลอน (Wave Curtains)
ม่านตาไก่ (Eyelet Curtains)
ม่านพับ (Roman Blinds)

 1. ม่านจีบ (Pleated Curtains)

ม่านจีบ เป็นม่านที่ได้รับความนิยมกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะสามารถเข้าได้กับการตกแต่งทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ต้องการความคลาสสิค เรียบหรู หรือสไตล์โมเดิร์น วัสดุที่ใช้จะเป็นเนื้อผ้าที่หลากหลายชนิด อาทิเช่น ผ้าฝ้าย (Cotton), ผ้าใยสังเคราะห์ (Polyester),  ผ้าซาติน (Satin), ผ้าแจ๊คการ์ด (Jacquard), ผ้ากำมะหยี่ (Velvet)

ลักษณะที่โดดเด่นของม่านจีบ อยู่ที่รูปแบบการเย็บที่บริเวณส่วนหัวของตัวม่าน ที่จะใช้วิธีการ จับจีบ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3 จีบ โดยแต่ละจีบจะห่างกันประมาณ 12 cm. โดยรางที่ใช้แขวนจะเรียกว่าราง M (หรือราง U) ซึ่งมีความแข็งแรงมาก

ทั้งนี้ เรื่องของการควบคุมแสงก็ขึ้นอยู่กับการเลือกเนื้อผ้า โทนสี และลวดลายของผ้าด้วยเช่นกัน ถ้าหาผ้าที่มีความหนาและเลือกสีที่ทึบกว่า ก็จะสามารถกันแสงได้ดีกว่านั่นเอง

 

2. ม่านลอน (Wave Curtains)

ม่านลอน จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับม่านจีบ ทั้งการเลือกชนิดและความหนาของผ้า รวมไปถึงการคำนวณผ้านั้น จะสามารถเลือกได้เหมือนกันกับม่านจีบทุกประการ แต่ความแตกต่างของม่านลอนกับม่านจีบก็คือ ส่วนบริเวณหัวม่าน
สำหรับม่านลอนนั้น จะไม่มีการจับจีบที่หัวม่าน จะทำให้ม่านมีลักษณะเป็นลอนโค้งไปตามด้านข้างและจะตรงยาวลงมาจนถึงปลายม่าน โดยลักษณะของม่านลอนที่ใช้โดยทั่วไปก็จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกันก็คือ ม่านลอนโซ่ไข่ปลา หรือ ม่านลอนเทป

สำหรับ ม่านลอนโซ่ไข่ปลา เทคนิคก็คือ จะทำการเย็บม่านลอนก่อน แล้วใส่ตะขอไปแขวนกับลูกล้อของราง ตัวม่านที่แขวนจะถูกล็อคระยะด้วยโซ่ไข่ปลา ส่วน ม่านลอนเทป นั้นจะเป็นเทปที่ติดมากับลูกล้อของราง ซึ่งจะมีการล็อคระยะมาไว้แล้ว โดยจะต้องทำการถอดเทปนี้ออกก่อน เพื่อนำไปเย็บติดกับม่าน หลังจากนั้นค่อยนำกลับไปแขวนเข้ากับลูกล้อที่อยู่บนราง โดยทั้ง 2 แบบนี้จะทำให้ม่านลอนมีระยะและการทิ้งตัวที่สม่ำเสมอกัน เวลาใช้งานเปิด-ปิดม่าน ก็จะยังคงระยะสวยงามอยู่

 

3. ม่านตาไก่ (Eyelet Curtains)

ม่านตาไก่ เป็นม่านที่เหมาะสำหรับการตกแต่งบ้านทุกสไตล์เช่นเดียวกับม่านจีบและม่านลอน แต่ม่านตาไก่จะมีความโดดเด่นในเรื่องของ รางประดับ หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า รางโชว์ ซึ่งลักษณะรางจะเป็นเหล็กท่อกลมๆ มีหลายขนาดตามที่ต้องการ เราสามารถเลือกรางโชว์ในสไตล์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นรางโชว์แบบโมเดิร์น หรือรางโชว์ที่ให้ความคลาสสิค ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย สามารถติดเป็นผ้าม่าน 2 ชั้น  เป็น ม่านทึบ และม่านโปร่งได้ตามความต้องการของเราอีกด้วย ซึ่งลักษณะม่านตาไก่นี้ จะมีการเจาะที่ตัวผ้าม่าน และทำการใส่ห่วงครอบเพื่อนำไปแขวนกับรางโชว์นั่นเอง

 

4. ม่านพับ (Roman Blinds)

ม่านพับ เป็นม่านอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีลักษณะเป็นชั้นๆ พับเก็บจากล่างขึ้นบน เหมาะสำหรับหน้าต่างหรือประตูบานเล็กๆ ทรงยาว หรือหากเป็นบานใหญ่ ก็นิยมทำเป็นชุดย่อยๆ ซึ่งมีข้อดีคือ เราสามารถเลือกเปิดเฉพาะในส่วนที่ต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดม่านทั้งหมด ประหยัดพื้นที่ จึงทำให้ห้องดูโปร่ง และเข้ากับการตกแต่งห้องในสไตล์โมเดิร์น

4. ม่านม้วน (Roller Blinds)

ม่านม้วน เป็นม่านที่มีรูปแบบทันสมัย เรียบง่าย มีลักษณะเป็นผ้าผืนใหญ่ที่ม้วนเก็บขึ้นไปด้านบนได้อย่างมิดชิด นิยมใช้ในสำนักงาน ร้านค้า หรือมุมต่างๆ ในบ้านที่ต้องการความเรียบง่าย ประหยัดพื้นที่ เช่น ห้องทำงาน คอนโดมีเนียม ห้องนั่งเล่น หรือห้องครัว ข้อดีของม่านม้วนคือ สามารถปรับระดับความสูงได้ตามต้องการ ประหยัดพื้นที่ ทำให้ห้องดูโปร่ง ไม่เก็บฝุ่นและทำความสะอาดได้ง่าย

ประเภทของม่านม้วน ตามลักษณะการใช้งาน

• ม่านม้วนแบล็คเอาท์ (Blackout) มีลักษณะทึบแสง 100% (Openess Factor 0%) แสงไม่สามารถทะลุผ่านได้ ตัววัสดุจะฉาบด้วย PVC ที่มีคุณสมบัติทึบแสง เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือไม่ต้องการให้แสงรบกวน เช่นห้องนอน

• ม่านม้วนดิมเอาท์ (Dimout) มีลักษณะทึบไม่สามารถมองทะลุผ่านได้ แต่แสงยังคงสามารถลอดผ่านได้ (Openess Factor 1%-10%) ทำให้ห้องไม่มืดจนเกินไป เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความสว่าง แต่ยังคงความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น หรือห้องครัว

• ม่านม่วนซันสกรีน (Sunscreen) มีลักษณะโปร่ง สามารถมองทะลุผ่านไปยังด้านนอกได้ เนื้อผ้าแบบซันสกรีน จะมีการเคลือบสารซิลเวอร์นาโนบริเวณด้านหลังทำให้กันความร้อน และ UV ได้แบบ 100 % เหมาะสำหรับนำมาตกแต่งในจุดที่ต้องการมองเห็นวิวภายนอกได้แม้ยังปิดม่านอยู่

 

5. ม่านปรับแสง (Vertical Blinds)

ม่านปรับแสง ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยรูปแบบการวางใบของตัวม่านที่เป็นแนวตั้ง มีคุณสมบัติสามารถปรับแสงและปรับองศาของใบม่านได้ถึง 180 องศา ทำให้กำหนดแสงให้ผ่านได้ตามความต้องการ นิยมใช้ในสำนักงาน ร้านค้า หรือแม้แต่พื้นที่ภายในบ้าน เช่นห้องทำงาน หรือห้องนั่งเล่น การใช้งานง่าย ทันสมัย เนื้อผ้าเคลือบด้วยสารป้องกันเชื้อราแบคทีเรีย ไม่สะสมฝุ่นละออง ทำให้บรรยากาศของตัวห้อง ดูสวยงาม ทันสมัย มีให้เลือกทั้งแบบ แบล็คเอาท์ ดิมเอาท์ และซันสกรีน เช่นเดียวกับม่านม้วน และนอกจากนี้ยังมีม่านปรับแสงแบบอะลูมีเนียม และแบบพีวีซีให้เลือกตามการใช้งานอีกด้วย

* Openness Factor หมายถึง ค่าที่ยอมให้แสงลอดผ่านตัววัสดุได้ (ยิ่งน้อยสุด ยิ่งมืด)

สำหรับการติดตั้ง จำเป็นต้องมีระยะที่วัสดุของม่านยื่นออกจากผนัง 5-10 cm. ช่องว่างตรงนี้ก็ส่งผลต่อแสงที่ลอดเข้ามาได้ ถึงแม้จะเลือกวัสดุที่กันแสงได้ 100% อาจต้องพิจารณาตรงจุดนี้อีกเช่นกัน เนื่องจากหลังติดตั้งเสร็จแล้ว ก็อาจจะยังมีแสงที่ยังคงลอดผ่านเข้ามาได้

ม่านม้วน (Roller Blinds)
มู่ลี่ไม้ (Wooden Blinds)
มู่ลี่ไม้ (Wooden Blinds)

6. มู่ลี่ไม้ (Wooden Blinds)

มู่ลี่ไม้ นอกจากจะช่วยบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในห้องแล้ว ยังช่วยสะท้อนความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวบ้าน และบดบังทัศนียภาพที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้อีกด้วย ตัวใบมู่ลี่วางตัวในแนวนอนสามารถปรับความเข้มแสงที่ลอดเข้ามาภายในห้องได้ โดยการปรับองศาของใบ เช่นเดียวกับ ม่านปรับแสง ประเภทวัสดุของมู่ลี่ไม้ แบ่งเป็น 4 ชนิด ได้แก่

• มู่ลี่ไม้รามิน (Ramin Wooden Blinds)

เป็นไม้รามินแท้ ที่นำเข้าจากประเทศมาเลเซีย เป็นไม้เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูง ทนต่อการขีดข่วนและทนต่อแสงแดด ไม้รามินแท้ ผิวไม้จะมีลวดลายตามธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านขั้นตอนการอบไม้ด้วยอุณหภูมิสูง เคลือบด้วยสาร UV เพื่อป้องกันการขยายตัวเมื่อโดนแดดจัด เคลือบสีด้วยเทคนิคพิเศษ จึงมีลวดลายที่สวยติดทนนาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

• มู่ลี่ไม้บาสวูด (Basswood Wooden Blinds)

ลักษณะเด่นของไม้บาสวูด คือ มีน้ำหนักเบา มีร่องเสี้ยนที่ตื้น ผิวเรียบเนียน สีธรรมชาติเหลืองนวล สม่ำเสมอตลอดทั้งใบ ผ่านการเคลือบสาร UV Protection และเคลือบสารป้องกันเชื้อรา เพื่อเพิ่มความคงทนของไม้

• มู่ลี่ไม้รุ่นสแปนิช (Spanish Wooden Blinds)

คือการนำไม้บาสวูดเกรดคุณภาพสูง มาผ่านขั้นตอนการอบแห้งเพื่อป้องกันการขยายของเนื้อไม้ และนำมาเข้าระบบพิมพ์ลายไม้ด้วยเครื่อง 3D ภายใต้มาตรฐานของประเทศสเปน ทำให้มีลายไม้ที่เหมือนจริง เด่นชัด และสวยงาม อีกทั้งมีการเคลือบ UV Protection ชนิดพิเศษ ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม

• มู่ลี่โฟมวูด (Foam Wood Blinds)

ผลิตจาก โพลีสไตรีน (Polystyrene) คุณภาพสูง ใช้เทคโนโลยีการทำสีภายใต้ลิขสิทธิ์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้มีสีและลวดลายมีความคล้ายกับไม้จริง เคลือบด้วยสาร UV Protection ทำให้สีสวยติดทนนาน ไม่ซีด ไม่ลอก ทนทานต่อสภาพอากาศที่มีแสงแดดจัด อีกทั้งมู่ลี่โฟมวูดยังสามารถโดนน้ำได้ โดยที่มู่ลี่จะไม่บวม และยังคงรูปสวยงามเช่นเดิม

7. มู่ลี่อะลูมิเนียม (Aluminium Blinds)

มู่ลี่อะลูมิเนียม เป็นมู่ลี่ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานในการตกแต่งบ้าน ด้วยเหตุผลในด้านความแข็งแรงทนทานในการใช้งาน รูปลักษณ์ที่สวยงาม ตลอดจนการดูแลรักษาที่ง่ายจึงเป็นเหตุผลที่หลายคนเลือกใช้มู่ลี่อะลูมิเนียม โดยขนาดใบของมูลี่อะลูมิเนียมมีด้วยกันทั้งหมด 4 ขนาด คือใบขนาด 16 mm. เหมาะสำหรับการเลือกนำไปตกแต่งหน้าต่างบานเล็กๆ และหากหน้าต่างห้องเป็นบานใหญ่ก็เหมาะที่จะนำใบขนาด 25 mm., 35 mm. และ 50 mm. มาใช้ในการตกแต่งได้อีกด้วย

รุ่นของมู่ลี่อะลูมิเนียม : Type of Aluminium Blinds

• มู่ลี่อะลูมิเนียมรุ่นปกติ (Classic Style)

ใบของมู่ลี่อะลูมิเนียมมีหลากหลายให้เลือกสรรตามความชื่อชอบ ทั้งโทนสีอ่อน ขาว ครีม เหลือง ชมพู ไม่ว่าจะนำไปตกแต่งที่ใดก็ดูลงตัวกับทุกพื้นที่ ไปจนถึงโทนสีน้ำเงิน น้ำตาล ดำ ที่ทำให้ห้องดูเคร่งขรึม อบอุ่น

• มู่ลี่อะลูมิเนียมรุ่นล้านนา (Lanna Style)

มู่ลี่รุ่นล้านนา เกิดจากการผสมผสานความเป็นธรรมชาติกับความทันสมัยเอาไว้อย่างลงตัว เพราะมีโทนสีไม้คล้ายกับใบของมู่ลี่ไม้แท้ โดยมีขนาดใบมู่ลี่ให้เลือกตั้งแต่ขนาด 25 mm. (หนา 0.21 mm.) และขนาด 50 mm. สำหรับมูลี่อะลูมิเนียมรุ่นล้านนานี้ เอกลักษณ์อยู่ที่การใช้อุปกรณ์ของมูลี่ไม้ทั้งชุดช่วยเพิ่มความสวยงามมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้ทุกระบบ ทั้งระบบการปรับระบบเชือกปรับ ระบบโซ่ดึง และระบบมอเตอร์ ทั้งยังใช้เทปผ้าหน้ากว้าง ทำให้ปิดช่องแสงระหว่างใบมู่ลี่ได้อย่างสนิทและสวยงาม

• มู่ลี่อะลูมิเนียมรุ่นลายไม้ (Wooden Style)

มู่ลี่อะลูมิเนียมรุ่นลายไม้ เหมาะสำหรับการตกแต่งบ้านให้เสมือนได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น มีความเรียบง่าย ผ่านการพิมพ์ลวดลายดุจดังเนื้อไม้จริงลงบนแผ่นใบทั้งสองด้าน มาพร้อมกับเฉดสีเช่นเดียวกับสีของไม้จริงตามธรรมชาติ หากมองจากภายในหรือภายนอกบ้านก็สามารถสัมผัสบรรยากาศความลงตัวนี้ได้เช่นกัน มีขนาดใบให้เลือก 3 ขนาดคือ 25 mm. 35 mm. และ 50 mm. ซึ่งรุ่นนี้จะประกอบกับอุปกรณ์ของมู่ลี่ไม้ทั้งชุดเพื่อเพิ่มความสวยงามและความกลมกลืนกับสีใบ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถเลือกใช้งานได้ทุกระบบทั้งระบบแกนปรับเชือก, ปรับโซ่ดึง และระบบมอเตอร์พิเศษ ในรุ่นลายไม้นี้ยังมีใบมู่ลี่อะลูมิเนียมลายไม้แบบมีรูให้เลือกสรร ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงมีแสงลอดเข้ามาเพื่อให้ห้องยังคงมีความสว่างได้อีกด้วย

มู่ลี่อะลูมิเนียม (Aluminium Blinds)
มู่ลี่อะลูมิเนียม (Aluminium Blinds)
มู่ลี่อะลูมิเนียม (Aluminium Blinds)
วอลเปเปอร์ (Wallpaper)
วอลเปเปอร์ (Wallpaper)
วอลเปเปอร์ (Wallpaper)

8. วอลเปเปอร์ (Wallpaper)

เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ หากคุณกำลังมองหาการตกแต่งห้องแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ใดๆ มากมาย เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามแปลกใหม่ ให้กับห้องของคุณแล้ว ยังช่วยแบ่งเขตห้องหรือเพิ่มมุมส่วนตัวได้อีกด้วยค่ะ

วอลปเปอร์ คืออะไร?

วอลเปเปอร์ คือกระดาษตกแต่งผนัง ที่มีคุณภาพสูงชนิดพิเศษ มีการพัฒนากระบวนการผลิตที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีต โดยมีการใช้กระดาษเป็นพื้นหลัง ซึ่งเรียกว่าวัสดุบุผนัง (wallcovering) รวมทั้งเทคโนโลยีชั้นสูงที่ใช้ในการพิมพ์ลวดลาย ทำให้วอลเปเปอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีคุณสมบัติที่คงทน สีสันและลวดลายสวยงาม เป็นธรรมชาติ การติดตั้งง่าย และไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่น หรืออันตราย การดูแลรักษาง่าย และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

นอกจากจะมีประโยนช์ในการตกแต่งให้ห้องสวยงามแล้ว วอลเปเปอร์ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น

  • ช่วยบดบังความไม่เรียบร้อยของผนัง เช่น รอยปูนฉาบที่ไม่เรียบ รอยปูนแตกลาย รอยร้าวบนผนัง
  • ช่วยลดความรู้สึกแข็งกระด้างของผนังให้ดูเนียนไม่หยาบกร้าน
  • ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผนังดูมีราคามากขึ้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ทำให้สถานที่นั้นมีคุณค่าตามขึ้นไปด้วย
  • ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับเจ้าของสถานที่ได้ตามใจชอบ หรือตามจินตนาการที่เจ้าของต้องการเช่น ห้องนั่งเล่น ใช้ลายดอกไม้ ให้บรรยากาศสดชื่นสวยงามสบายใจ ห้องรับแขกใช้ลายหลุยส์ให้บรรยากาศรหรูหรา ภูมิฐาน และดูมีคุณค่า
  • ช่วยให้การตกแต่งภายในเสร็จได้ในเวลาอันสั้น สามารถเข้าอยู่ได้ทันที โดยไม่มีกลิ่นเหม็นหลังจากตกแต่งเสร็จ
  • ช่วยลดการสะท้อนของความร้อน และเสียงรบกวนจากผนังห้อง

โปรเจ็คอื่นๆ ที่น่าสนใจ